พืชกระท่อมไทย

Thai Kratom Story

กระท่อม (ไมตราจินา สเปซิโอซ่า)

พืชกระท่อม (Mitragyna Speciosa) เป็นไม้ยืนต้นที่เป็นพืชถิ่นพบในบริเวณแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชอบขึ้นในบริเวณป่าดิบชื่น ริมลำธาร ในประเทศไทยพบมากในภาคใต้ โดยชาวบ้านปลูกภายในบริเวณบ้าน ในร่องสวนหรือทุ่งนาและในป่าธรรมชาติ นอกจากนั้นยังพบได้ในภาคกลาง เช่น จังหวัดปทุมธานี และอยธยา เป็นต้นใบกระท่อมมีชื่อเรียกตามภาษาถิ่นในประเทศไทยหลายชื่อ เช่น อีถ่าง ท่อม กระทุ่มโคก คอยโคน จากการสำรวจคุณภาพชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ขอ ประชาชนเพื่อประมาณการจำนวประชากรที่เกี่ยวข้องกับสารเสพติด พ.ศ. 2562 ซึ่งสำรวจประสบการณ์ใช้สารเสพติดชนิดต่าง ๆ ใน ประชากรอายุ 12-65 ปีทั่วประเทศ พบว่าใบกระท่อมเป็นสารเสพติดที่มีจำนวนผู้ใช้ใน 30 วันที่ผ่านมามากเป็นอันดับสามรองจากกัญชาและ ยาบ้า และใช้สูงสุดในภาคใต้

วัฒนธรรมการใช้พืชกระท่อมตั้งแต่ดั้งเดิม

ชาวบ้านในภาคใต้เคี้ยวใบกระท่อมมาตั้งแต่ดั้งเดิม โดยใช้เป็นตัวกระตุ้นเพื่อช่วยในการทำงานให้ทนนานมากขึ้น ใช้เป็นยารักษาโรค และใช้ในการสังสรรค์กับเพื่อน ๆ กระท่อมจึงเป็นพืชที่แสดงบทบาทหน้าที่ทางสังคมวัฒนธรรมของท้องถิ่นภาคใต้อย่างชัดเจน ทั้งในด้านการใช้เป็นเครื่องเสริมแรง เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำนา ทำสวน ประมง นอกจากนี้ กระท่อมยังถูกใช้เป็นยารักษาโรค เป็นของขบเคี้ยวระหว่างเพื่อนฝูง และเป็นของกินเพื่อต้อนรับแขกที่มาเยือน รวมทั้งถูกใช้ให้ทำหน้าที่สนับสนุนกิจกรรมสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมสร้างความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคม ทั้งในการแสดงพื้นเมือง เช่น หนังตะลุง การเล่นกีฬาพื้นบ้าน เช่น ชนวัว ชนไก่ เป็นต้น และใบกระท่อมถูกใช้เพื่อการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเช่นไหว้บรรพบุรุษ หรือใช้ บนบานศาลกล่าวกับวิญญาณหรือเทพยดา เจ้าที่ ตามความเชื่อและศรัทธาของแต่ละบุคคล ในอดีตก่อนที่จะมีการปราบปรามการใช้พืชกระท่อมอย่างเข้มงวดและการโค่นทำลายต้นกระท่อม ในเขตลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรรมราช พัทลุง สงขลา ตามร้านน้ำชาจะมีใบกระท่อมให้กินฟรี และในตลาดจะมีใบกระท่อมสุดมัดวางขายเป็นประจำทั่วไป

กฎหมายพืชกระท่อม

ในประเทศไทยเริ่มมีกฎหมายเกี่ยวกับพืชเสพติดมาตั้งแต่ สมัยพระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา โดยเริ่มจากฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมฝิ่น ซึ่งห้ามการซื้อ ขาย และเสพฝิ่น

ในรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นช่วงตรงกับที่ประเทศอังกฤษ นำฝิ่นจากอินเดียไปขายที่ประเทศจีน ทำให้คนจีนติดฝิ่นมากขึ้น และเป็นช่วงเดียวกันกับช่วงที่คนจีน เข้ามาค้าขายในประเทศไทย และลักลอบน้ำฝิ่นเข้ามาในประเทศไทย จึงเป็นเหตุให้การเสพฝิ่นระบาดมากยิ่งขึ้น

ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราโชบายควบคุมฝืนแทนการปราบปราม โดยให้คนจีนขออนุญาตค้าขายฝิ่นให้ถูกต้องตามกฎหมาย และห้ามคนไทยไม่ให้เสพฝิ่นแต่ก็ไม่ได้ผล

รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าการที่ประชาชนเสพ/ค้าฝิ่นเป็นภัยต่อความมั่นคงและอันตรายต่อสุขภาพ ทรงดำริยกเลิกการค้าและเสพฝิ่น และให้มีการขึ้นทะเบียนคนเสพฝิ่นเพื่อควบคุมการใช้ในระดับหนึ่ง

รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้นำข้อตกลงในสนธิสัญญานครเฮกมาออกพระราชบัญญัติยาเสพติด ซึ่งนอกเหนือจากฝิ่นแล้ว ยังได้ระบุใบโคคาและอัลคาลอยด์จากใบโคคาเป็นสิ่งเสพติดที่ผิดกฎหมาย แต่ก็ยังไม่ได้ระบุถึงพืชกระท่อม

รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกนกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลให้มีการขึ้นทะเบียนคนเสพฝืนอีกครั้ง และได้กำหนดเพิ่มให้กัญชาเป็นยาเสพติดภายใต้สนธิสัญญานครเฮก เมื่อเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา

ในปี พ.ศ. 2485 เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ผู้ที่ขึ้นทะเบียนเสพฝิ่นหันไปใช้พืชกระท่อมแทน ทำให้รายได้ของรัฐลดลง รัฐบาลจึงเปิดขึ้นทะเบียนรับคนเสพฝิ่นเพิ่มเติมอีกครั้ง ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติฝิ่น ฉบับที่ 5 เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ได้ให้รัฐ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น

ในปี พ.ศ. 2486 จึงได้ออกพระราชบัญญัติควบคุมพืชกระท่อมเป็นครั้งแรก แต่ยังอนุญาตให้ใช้พืชกระท่อมในการประกอบโรคศิลปะ แต่ก็มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคนไม่เห็นด้วยกับการออกพระราชบัญญัติฉบับนี้ ด้วยความเห็นว่าควรที่จะควบคุมการใช้สิ่นมากว่าที่จะควบคุมการใช้พืชกระท่อม ดังนั้น ประเทศไทยจึงนับเป็นประเทศแรกที่ประกาศควบคุมการใช้พืชกระท่อม โดยตราพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2486 ซึ่งระบุการห้ามปลูกและครอบครอง รวมทั้งห้ามจำหน่ายและเสพใบกระท่อม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 เป็นต้นมา และต่อมาใน

ปี พ.ศ. 2522 กระท่อมได้ถูกจัดให้เป็นพืชเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้นยังไม่มีข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์การแพย์ที่ยืนยันชัดเจนว่าพืชกระท่อมมีผลทำให้เกิดการเสพติดเท่ากับกัญชา พืชฝิ่น หรือใบโคคา*กฎหมายควบคุมพืชกระท่อมเมื่อประกาศใช้วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2486 ได้มีเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติไว้ ดังนี้”ด้วยกระท่อมเป็นใบพฤกษชาติชนิดหนึ่ง ใบมีรสมันเมาคล้ายฝิ่น ปรากฎว่าประชาชนไทยนิยมเสพกันแพร่หลายมาก การเสพใบกระท่อมเป็นการให้โทษแก่ร่างกาย โดยทำให้เกิดการเสพติดและเกิดอาการมึนเมา ท้องอึด เบื่ออาหาร เป็นโรคหัวใจอ่อนและโรคประสาทตื่นเต้น เพราะฉะนั้นจึงสมควรมีบทบัญญัติบังคับห้ามการปลูก การมีไว้ในครอบครอง การพาเข้าและส่งออกซึ่งใบกระท่อมและส่วนต่าง ๆ ของต้นกระท่อม ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองป้องกันให้ความปลอดภัยแก่ประชาชนให้เกิดผลดีต่อไป”

พระราชบัญญัติพืชกระท่อมนี้มีเพียง 7 มาตรา*ในแต่ละมาตรามีข้อความเพียงสั้น ๆ ที่กำหนด
เป็นข้อปฏิบัติในด้านกฎหมายการควบคุมโดยทั่วไป ได้แก่
มาตรา 1 ชื่อพระราชบัญญัติ
มาตรา 2 เกี่ยวข้องกับการกำหนดบังคับใช้หลัง 6 เดือนที่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 3 เกี่ยวกับนิยามศัพท์ “พืชกระท่อม” ที่ให้ความหมายคือ หมายความรวมตลอดถึงทุกส่วนของพืชกระท่อม ซึ่งเรียกตามพฤกษศาสตร์ว่า มิตรายินา สเปซิโอชาไม่ว่าจะมีสิ่งอื่นผสมอยู่ด้วยเป็นรูปหรือของปรุงใด ๆ
มาตรา 4 เกี่ยวกับการห้ามนำเข้าส่งออก เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพน้างาน
บทสรุปของพืชกระท่อม

พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2522

เมื่อการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ขยายมาเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศโดยองค์การสหประชาชาติให้มีการทำอนุสัญญาเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ รวมเป็นฉบับเดียวคือ Single Convention on Narcotic Drugs 1961 (พ.ศ. 2504) ส่งผลให้ประเทศไทยมีการ แก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษอีกหลายครั้ง และในปี พ.ศ. 2522 ประเทศไทยประกาศใช้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 โดยยกเลิก พ.ร.บ. ยาเสพติดทุกฉบับ (15 ฉบับ)ที่ผ่านมา ถือเป็นการสิ้นสุดกฎหมายควบคุมยาเสพติดให้โทษระยะแรกโดยปริยายสาระสำคัญของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม คือ “มาตรา 7” มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการแบ่งประเภทยาเสพติดให้โทษเป็น 5 ประเภท เป็นการแบ่งตามความร้ายแรงจากมากไปน้อย และตามลักษณะของยาเสพติดให้โทษ ดังนี้
ประเภท 1 ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง เช่น เฮโรอิน
ประเภท 2 ยาเสพติดให้โทษทั่วไป เช่น มอร์ฟืน โคคาอีน โคเดอีน ฝิ่นยา
ประเภท 3 ยาเสพติดให้โทษที่มีลักษณะเป็นตำรับยา และมียาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ผสมอยู่
ประเภท 4 สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 หรือประเภท 2 เช่นอะเซติคแอนไฮไดรด์

ประเภท 5 ยาเสพติดให้โทษที่มิได้อยู่ในประเภท 1,4 ได้แก่ ฝิ่น กัญชา พืชกระท่อม และเห็ดขี้ควาย
พืชกระท่อม จึงถูกควบคุมในฐานะยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยมีมาตราที่เกี่ยวข้อง เพียง 2 มาตรา คือ “มาตรา 26” ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 4 หรือประเภท 5 เว้นแต่รัฐมนตรีจะอนุญาต โดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการเป็นราย ๆ ไป ส่วน“มาตรา 57” ห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 หรือ ประเภท 5

นอกจากนี้ในหมวด 12 ว่าด้วยบทกำหนดโทษมีการแก้ไขเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับพืชกระท่อม
ดังตารางที่ 1 

มีความพยายามทั้งจากนักการเมือง นักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องหลายครั้งที่จะเสนอให้กระท่อม ออกจากยาเสพติดให้โทษโดยการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโทษภัยต่อสุขภาพและต่อสังคม ในขณะที่ความพยายามยังไม่สามารถบรรลุจุดหมาย พัฒนาการของ “การใช้พืชกระท่อม “ ได้ก้าวหน้าไปอย่างมาก พืชกระท่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องดื่มที่ใช้กันแพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่น น้ำต้มใบกระท่อม พัฒนาในชื่อ “สี่คุณร้อย” จึงกลายเป็นปัญหาสืบเนื่องที่ทำให้ผู้เกี่ยวข้องต้องตามแก้ไขกันอีกต่อไป

รูัจักกระท่อมไทยให้มากขึ้น

Scroll to Top